หู จิ่นเทา (จีนตัวย่อ: ???; จีนตัวเต็ม: ???; พินอิน: H? J?nt?o; เกิด 21 ธันวาคม พ.ศ. 2485) เป็นหัวหน้าคณะผู้นำจีนรุ่นที่ 4 แห่งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน, ประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง และประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
หู จิ่นเทา เป็นคนท้องถิ่นจี้ซือ มณฑลเจียงซู เกิดเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2485 โดยพื้นเพครอบครัวค้าขายชาอยู่ในเขตจีซี มณฑลอานฮุย ชีวิตวัยเด็กของเขาค่อนข้างยากจน กำพร้าแม่ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ บิดาของหู จิ่นเทาตกเป็นเป้าโจมตี โดนจับแห่ประจานเช่นเดียวกับพ่อค้าวาณิชย์ ผู้ดีเก่า ปัญญาชน และกลุ่มคนหัวอนุรักษนิยมจำนวนมาก ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม
หู จิ่นเทาจบการศึกษาด้านเอกสถานีไฟฟ้าพลังน้ำ คณะวิศวกรรมชลประทาน จากมหาวิทยาลัยชิงหวา กรุงปักกิ่ง ระหว่างที่เรียนอยู่เขาได้พบกับคู่ชีวิตคือ หลิว หย่งชิง และแต่งงานสร้างครอบครัวด้วยกัน จนมีลูกชายลูกสาวอย่างละหนึ่งคน ด้วยประวัติการศึกษาและกิจกรรมดีเลิศ หูเป็นสมาชิกพรรคยุวชนคอมมิวนิสต์ก่อนเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรม พ.ศ. 2507
หลังจากสำเร็จการศึกษา เขาได้เป็นผู้ช่วยสอนด้านการเมืองในภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน จน พ.ศ. 2511 เขาถูกส่งตัวไปคุมงานก่อสร้างเขื่อนในมณฑลกานซู ซึ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดารห่างไกลความเจริญ เป็นวิศวกรคุมงานสร้างเขื่อนอีกหลายแห่งเป็นเวลาต่อเนื่องนับสิบปี ได้รับคัดเลือกเป็นคณะกรรมการสำรองพรรคคอมมิวนิสต์ในพ.ศ. 2523 การทำงานในตำแหน่งบริหารของเขาไปเข้าตา หู เหยาปัง ซึ่งเป็นสมาชิกคณะกรรมการกรมการเมืองประจำพรรคคอมมิวนิสต์ ทำให้เขาได้รับเลื่อนขั้นเป็นเลขาธิการพรรคประจำมณฑลกุ้ยโจว มีโอกาสได้แสดงฝีมือพัฒนามณฑลทุรกันดารแห่งนี้ให้เจริญขึ้นได้อย่างเหลือเชื่อ และต่อมาเขาก็ถูกย้ายไปเป็นเลขาธิการพรรคประจำทิเบต ซึ่งเขามีส่วนในการบรรเทาความขัดแย่งระหว่างชาวทิเบตกับทางการจีน
ในปี พ.ศ. 2517 หูจิ่นเทาได้คุมงานก่อสร้างเขื่อนแห่งหนึ่งในมณฑลกานซู ที่ได้ชื่อว่าทุรกันดารมากกว่าสิบปี จนได้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมาธิการสันนิบาตเยาวชนแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ประจำมณฑลกานซู แล้วก็ขึ้นเป็นเลขาธิการคณะกรรมาธิการกลางพรรคฯแห่งมณฑลกุ้ยโจว
พ.ศ. 2531 หู จิ่นเทาได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ประจำเขตปกครองตนเองทิเบต หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2535 ได้เป็นกรรมการประจำกรมการเมืองของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ฯ ควบตำแหน่งเลขานุการสำนักงานเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ฯ จน พ.ศ. 2541 ได้เป็นรองประธานาธิบดี และในที่สุด พ.ศ. 2545 ได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการทั่วไปพรรคคอมมิวนิสต์จีน